ปัจจัยทำนายพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจ ในเด็กวัยก่อนเรียน

จุฬาลักษณ์ แก้วสุก

Abstract


         การวิจัยแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กวัยก่อนเรียนที่เข้ารับบริการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาที่มีบุตรวัยก่อนเรียน จำนวน 86 ราย คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 –มกราคม พ.ศ. 2558 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 6 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและสถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ความสามารถตนเองการรับรู้เกี่ยวกับโรคการสนับสนุนทางสังคม และการได้รับข้อมูลข่าวสารมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กวัยก่อนเรียน(r = .727, r = 650,r = .615,และ r = .465, p < .001 ตามลำดับ)การรับรู้ความสามารถตนเองเป็นตัวทำนายที่ดีที่สุด โดยสามารถทำนายได้ร้อยละ 52.9(B = .461, t = 4.884, p< .001) รองลงมาคือการได้รับข้อมูลข่าวสารสามารถทำนายได้ร้อยละ 4.7(B = .2.51, t = 2.774, p< .01)และการรับรู้เกี่ยวกับโรคสามารถทำนายได้ร้อยละ 2.8 (B = .183,t = 2.401, p< .05) ซึ่งทั้ง3 ตัวแปรสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กวัยก่อนเรียนได้ ร้อยละ 60.4 (F3, 82 = 41.680, p< .001)

                    ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การรับรู้ความสามารถตนเองการได้รับข้อมูลข่าวสาร และการรับรู้เกี่ยวกับโรคมีความสำคัญและส่งผลต่อพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กวัยก่อนเรียนดังนั้นพยาบาลและบุคลากรทีมสุขภาพจึงควรส่งเสริมการรับรู้ความสามารถตนเองของมารดาการรับรู้เกี่ยวกับโรคและการให้ข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอเพื่อให้มารดามีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กวัยก่อนเรียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น


Keywords


เด็กวัยก่อนเรียน; พฤติกรรมของมารดา; โรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจ

Full Text:

PDF

References


กรมควบคุมโรค.(2554). แนวทางการป้องกันควบคุมโรคติดต่อในศูนย์เด็กเล็ก.(พิมพ์ครั้งที่ 2).

นนทบุรี: สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.

กรมควบคุมโรค.(2556). สถานการณ์โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ.สืบค้นเมื่อ มีนาคม 6, 2557,

จาก http://www.boe.moph.go.th/report.php?cat=86

ชญาน์นันท์ ใจดีและคณะ. (2555). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อ

เฉียบพลันระบบหายใจของผู้ดูแลเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก. รามาธิบดีพยาบาลสาร, 18(3),

-403.

ปวริศา ตั้งไพบูลย์. (2551). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมของมารดาในการดูแลบุตรสมองพิการ.ปริญญา

พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาการพยาบาลเด็ก โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

ณัฐวัส ประสมนาค.(2552). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรค

ติด เชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็ก 0-5 ปี ของผู้ดูแลเด็ก ในเขตรับผิดชอบของสถานี

อนามัยนางาม ตำบลตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว. สืบค้นเมื่อ เมษายน 3, 2557, จาก http://team.sko.moph.go.th

ประกาย จิโรจน์กุล. (2556). แนวคิด ทฤษฎี การสร้างเสริมสุขภาพและการนำมาใช้. กรุงเทพฯ:

โครงการสวัสดิการ สถาบันพระบรมราชชนก.

ศิริธิดา ศรีพิทักษ์. (2549). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมของมารดาในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงของ

ทารก. ปริญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาการพยาบาลเด็ก โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

สุกัญญา สร้างนอก. (2543). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมารดาในการดูแลบุตรวัยก่อนเรียนที่

ป่วยเป็นโรคหอบหืด. ปริญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลแม่และเด็ก

โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.

สุจรรยา ทั่งทอง.(2541).ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและดูแลบุตรขณะเจ็บป่วย

ด้วยโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กของมารดาในชนบท. ปริญญา พยาบาล

ศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลชุมชนคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

สุรพงษ์ เหลืองวุฒิวงษ์.(2547). พฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจของ

ผู้ดูแลเด็กป่วยที่มีอายุ 0-5 ปี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี. ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ คณะสาธารณสุขมหาวิทยาลัยมหิดล.

หทัยชนก บัวเจริญ. (2544). การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจ

ในเด็กวัยก่อนเรียน. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ, 24(3), 23-24.

Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The exercise of control. New York: W.H. Freeman.

Bland, A,D., Kegler, M. C. Escoffery. C., &Malcoe, L.H. (2005). Understanding childhood lead

poisioning preventive behavior: The roles of self-efficacy, subjective norms, and

perceived benefits. Preventive Medicine, 41, 70-78.

Burns, C. E., Dunn, A. M., Brady, M. A., & Starr, N. B. (2013). Pediatric primary care (5thed).

Philadelphia: Elsevier.

Green, L.W., &Kreuter, M.W. (2005). Health program planning: An educational and ecological

approach (4thed). New York: McGraw-Hill Higher Education.

Green, L.W., & Mercer, S. L. (2002).Precede-Proceed Model. Retrieved March 3, 2013, from

http://www. healthline.com/galecontent/precede-proceed-model#precede-proceedmodel.

McElveen, P. M. (1989). Clinical practice in psychological nursing: Assessment and

intervention. New York: Appleton-Cenury-Crofts.

Strecher, V. J., &Rosenstock, I. M. (1997). The health belief model, In A. Baum, S. Newman,

J. Weinman, R. West, & C. McManus (Eds.), Cambridge Handbook of Psychology,

Health and Medicine (pp.113-116). Cambridge: Cambridge University Press.

Wilmott, R., Boat, T., Bush, A., Chernick, V., Deterding, R., &Ratjen, F. (2012). Kendig

andChernick’s Disorders of the Respiratory Tract in Children (8thed). Philadelphia:

Elsevier Health Sciences.


Refbacks

  • There are currently no refbacks.